พช.เดินหน้าเพิ่มศักยภาพด้านกฎหมายแก่นิติกรกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี เพื่อขับเคลื่อนงานกองทุน'สตรี ในการบริหารจัดการหนี้ เน้นใช้หลักการพัฒนาชุมชนแก้ปัญหาลูกหนี้ค้างชำระ

วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 ณ วิทยาลัยการพัฒนาชุมชน อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี

นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน พบปะให้กำลังใจแก่ผู้เข้าอบรมฯ พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกรมการพัฒนาชุมชน และได้รับเกียรติจากนางสาวประภาพรรณ วุ่นสุข ผู้อำนวยกลุ่มงานพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นวิทยากร ซึ่งวัตถุประสงค์โครงการจัดขึ้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน แก่เจ้าหน้าที่กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ให้มีความรู้ความเข้าใจในด้านกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ หลักเกณฑ์ และมีทักษะการปฏิบัติงานที่จำเป็นในการดำเนินงานกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้บุคลากรที่ปฏิบัติงานกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี มีความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับนโยบายการดำเนินงานกองทุนฯ การวิเคราะห์สภาพปัญหาและแนวทางการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ กลุ่มเป้าหมายประกอบด้วย ประกอบด้วย นิติกร ในส่วนภูมิภาค จำนวน 76 ราย และนิติกร ในส่วนกลาง จำนวน 6 ราย จำนวนทั้งสิ้น 82 ราย โดยมี นายเฉลิมเกียรติ แผนกิจเจริญ ผู้อำนวยการวิทยาลัยการพัฒนาชุมชน และนายธีระพล คู่คิด ผู้อำนวยการกลุ่มกฎหมายให้การต้อนรับ

 

นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน กล่าวว่า กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี เป็นงานหนึ่งที่สำคัญของกรมการพัฒนาชุมชน เนื่องจากเป็นแหล่งทุนดอกเบี้ยต่ำ สามารถเข้าถึงได้ง่าย และมีเงินจำนวนมากพอสมควร จึงเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะเป็นแหล่งทุนที่สำคัญที่ใช้ในการประกอบอาชีพ และพัฒนาองค์กรสตรี ซึ่งมีอยู่ทุกระดับตั้งแต่ระดับหมู่บ้านจนถึงระดับประเทศ ส่งต่อไปถึงกลุ่มอาชีพ OTOP สัมมาชีพชุมชน ตลาดประชารัฐ ในภาพรวมของกรมการพัฒนาชุมชน หากนำเงินกองทุนมาใช้และบริหารจัดการอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ จะส่งผลให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น และรวมทั้งสมาชิกสตรีองค์กรสตรี ก็ได้รับการพัฒนาส่งเสริมให้มีบทบาทและมีศักยภาพในการพัฒนาชุมชน การช่วยเหลือดูแลสตรีในหมู่บ้าน/ชุมชนของตนเองให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น พนักงานกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ตำแหน่งนิติกร ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคถือเป็นบุคลากรที่มีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนการดำเนินงานกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีทั้งในด้านการบริหารจัดการหนี้ โดยเฉพาะหนี้ค้างชำระที่มีแนวโน้มสูงขึ้น การแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้กับลูกหนี้ผู้สุจริตโดยใช้หลักการของงานพัฒนาชุมชน ไม่เน้นการดำเนินคดี จึงขอให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมตั้งใจอบรม รับฟังความรู้จากวิทยากรเพื่อนำความรู้ไปปรับใช้ในการทำงาน เพื่อให้งานมีประสิทธิภาพเกิดประโยชน์สูงสุด และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกคนจะมีความภาคภูมิใจในงานที่ทำและทำงานด้วยจิตอาสา ประสานงานกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องและเป็นส่วนหนึ่งที่จะได้ช่วยเหลือประชาชนให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น